ความรู้เกี่ยวกับ “แบตเตอรี่รถยนต์” พร้อมวิธีการดูแลรักษาและสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
ความรู้เรื่องแบตเตอรี่ สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม ส่วนประกอบของแบตเตอรี่ หน้าที่ของแบตเตอรี่ ชนิดของแบตเตอรี่ น้ำกรด(Electrolyte) ไฮโดรมิเตอร์(Hydrometer) วิธีสังเกตแบตเตอรี่เสื่อม การดูแลรักษาแบตเตอรี่ การพ่วงสายแบตเตอรี่…
1. แบตเตอรี่ คืออะไร?
แบตเตอรี่ เป็นอุปกรณ์จัดเก็บ และจ่ายกระแสไฟฟ้า โดยมีลักษณะเป็นทรงสี่เหลี่ยม ที่มีการทำปฏิกิริยาเคมีภายใน ทำให้เกิดไฟฟ้า ซึ่งเป็นแหล่งรวมพลังไฟฟ้าของรถ แบตเตอรี่ให้กระแสไฟฟ้าแก่รถในการสตาร์ทเครื่องโดยการจ่ายไฟฟ้าให้แก่ไดร์สตาร์ทเพื่อให้เครื่องยนต์ติด จากนั้นระบบไฟฟ้าที่ใช้ในรถจะมาจากไดชาร์จ ยกเว้นกรณีการใช้อุปกรณ์บางอย่างเช่นใบปัดน้ำฝน ไฟหน้ารถ ไฟเลี้ยว ฯลฯ จะมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าจากแบตเตอรี่ช่วยในการทำงาน แบตเตอรี่ที่ติดรถเรียบร้อยแล้วจะได้รับการเติมไฟฟ้าจากไดร์ชาร์จเมื่อกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ลดลงเนื่องจากการนำกระแสไฟฟ้าไปใช้ (โดยกระบวนการชาร์จไฟนี้จะทำงานในขณะที่เครื่องยนต์ติด)
2. ส่วนประกอบของ แบตเตอรี่
- ขั้วแบตเตอรี่ (Pole)
- แผ่นธาตุลบ (Negative Plate)
- แผ่นกั้น (Separator& Glass mat)
- แผ่นธาตุบวก (Positive Plate)
- จุกปิด (Vent Plug)
- เปลือกหม้อและฝาหม้อ (Container3 & Lid)
- ขั้ว (Terminal Pole)
3. หน้าที่ของ แบตเตอรี่
- แหล่งพลังงานจ่ายไฟให้แก่สตาร์ทเตอร์ และระบบจุดระเบิดให้แก่เครื่องยนต์ เพื่อให้เครื่องยนต์หมุนและติดเครื่องได้
- เป็นแหล่งให้พลังงานแก่ระบบไฟฟ้าอื่นๆในรถยนต์เมื่อระบบไฟฟ้าในรถยนต์ต้องการกำลังไฟฟ้ามากกว่าที่ระบบจ่ายไฟของรถยนต์จะจ่ายได้
รักษาระดับกระแสไฟให้คงที่
4. ชนิดของแบตเตอรี่
- แบตเตอรี่แบบธรรมดา (เติมน้ำกรดแล้วชาร์จไฟในครั้งแรก จากนั้นต้องหมั่นดูแลระดับน้ำอย่างสม่ำเสมอ)
- แบตเตอรี่แบบไม่ต้องเติมน้ำกลั่น (Free Maintenance) หรือโดยทั่วไปนิยมเรียกว่า “แบตแห้ง” (แบตเตอรี่ชนิดนี้มีการเติมน้ำกรดและชาร์จไฟมาจากโรงงาน ก่อนการติดตั้งสินค้าในครั้งแรกต้องทำการกระตุ้นแผ่นธาตุโดยการชาร์จไฟฟ้าระยะสั้นประมาณ 5-10 นาที จากนั้นไม่ต้องดูแลระดับน้ำในระยะแรก (6 เดือนแรก) หลังจากนั้นควรดูแลประมาณ 3 เดือนครั้ง เนื่องจากแบตเตอรี่ชนิดนี้มีระบบป้องกันการระเหยของน้ำทำให้มีการระเหยของน้ำในแบตเตอรี่ต่ำมาก
5. สาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
> การประจุไฟที่น้อยเกินควร Under Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
– เกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตเตอรี่ส่งผลให้ประจุไฟได้ยาก
– ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ
– เกิดคราบขาวที่แผ่นธาตุของแบตเตอรี่ส่งผลให้ประจุไฟได้ยาก
– ทำให้แผ่นธาตุจะเสื่อมสภาพ
> การประจุไฟที่มากเกินควร Over Charging
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
– น้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง
– อุณหภูมิสูงขึ้นมากทำให้แผ่นธาตุเสื่อม
– ทำให้ผงตะกั่วเกิดการสึกกร่อนจากแผ่นธาตุ
– แผ่นธาตุงอโค้ง
– ลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
– น้ำกลั่นแปรสภาพเป็นแก๊สมากทำให้ระดับน้ำกลั่นลดลง
– อุณหภูมิสูงขึ้นมากทำให้แผ่นธาตุเสื่อม
– ทำให้ผงตะกั่วเกิดการสึกกร่อนจากแผ่นธาตุ
– แผ่นธาตุงอโค้ง
– ลดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่
> การลัดวงจรในช่องแบตเตอรี่ Short Circuit
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
– เกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตเตอรี่มากเกินไป
– เกิดจากการแตกหักหรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ
– เกิดตะกอนที่อยู่ส่วนล่างของหม้อแบตเตอรี่มากเกินไป
– เกิดจากการแตกหักหรือการเสื่อมสภาพของแผ่นกั้นระหว่างแผ่นธาตุบวก และแผ่นธาตุลบ
>ปัญหาระบบไฟในรถยนต์
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
– การติดเครื่องเสียง สัญญาณกันขโมย อุปกรณ์เสริมในรถเพิ่มเติม (ไฟไม่พอ)
– การเปลี่ยนแปลงขนาดของแบตเตอรี่
– การลัดวงจรของสวิทซ์ไฟต่างๆในรถ
– ประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จไม่เต็มที่
– การติดเครื่องเสียง สัญญาณกันขโมย อุปกรณ์เสริมในรถเพิ่มเติม (ไฟไม่พอ)
– การเปลี่ยนแปลงขนาดของแบตเตอรี่
– การลัดวงจรของสวิทซ์ไฟต่างๆในรถ
– ประสิทธิภาพการทำงานของไดชาร์จไม่เต็มที่
>การมีสารอันตรายปะปนในหม้อแบตเตอรี่ Impurity
อาการ และลักษณะที่เกิดขึ้น:
– น้ำกรดไม่ได้คุณภาพ
– น้ำกลั่นที่เติมลงไปไม่บริสุทธิ์
– เติมน้ำกลั่นสี (สารหล่อเย็น) ลงไป
– น้ำกรดไม่ได้คุณภาพ
– น้ำกลั่นที่เติมลงไปไม่บริสุทธิ์
– เติมน้ำกลั่นสี (สารหล่อเย็น) ลงไป
>การเกิดซัลเฟต (Sulfation)
แผ่นธาตุที่มีผลึกซัลเฟตสีขาวเกาะติดอยู่ที่บริเวณแผ่นธาตุ เกิดจาก…..
– ปล่อยทิ้งแบตเตอรี่ไว้นานๆ โดยไม่นำไปใช้
– การประจุไฟที่น้อยเกินไป (Under Charging)
– แผ่นธาตุโผล่พ้นระดับน้ำกรด
– ปล่อยทิ้งแบตเตอรี่ไว้นานๆ โดยไม่นำไปใช้
– การประจุไฟที่น้อยเกินไป (Under Charging)
– แผ่นธาตุโผล่พ้นระดับน้ำกรด
6. น้ำกรด (Electrolyte)
น้ำกรดซัลฟูริค (Sulfuric Acid) เป็นตัวนำไฟฟ้าระหว่างแผ่นธาตุบวก และลบ น้ำกรดที่ใช้ในประเทศไทยควรมีค่า ถ.พ. ระหว่าง 1.24-1.25 ที่อุณหภูมิ 20 องศาเซลเซียส
การเติมน้ำกรด:
การเติมน้ำกรด:
- ใช้น้ำกรดที่มีค่าความถ่วงจำเพาะอยู่ระหว่าง 1.240-1.250
- ใส่น้ำกรดลงในทุกช่องแบตเตอรี่จนถึงระดับ UPPER
- ตั้งแบตเตอรี่ทิ้งไว้ในร่มประมาณ 1 ชม. เพื่อให้ซึมเข้าแผ่นธาตุ
- ถ้าน้ำกรดลดลง ให้เติมน้ำกรดอีกครั้งจนถึงระดับ UPPER
7. ไฮโดรมิเตอร์ (Hydrometer)
เครื่องวัดความถ่วงจำเพาะ (ถ.พ.) เป็นเครื่องมือสำหรับวัดความเข้มข้นของน้ำกรด ใช้ตรวจสอบความผิดปกติของแบตเตอรี่แต่ละช่อง หรือใช้ตรวจเช็คการลัดวงจรภายในช่องใด ช่องหนึ่ง ของแบตเตอรี่ เพราะฉะนั้นถ้าความถ่วงจำเพาะไม่ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดจะต้องนำแบตเตอรี่ไปชาร์ตไฟใหม่ (ในกรณีแบตเตอรี่ใหม่) และหากตรวจพบว่ามีช่องใดช่องหนึ่งมีค่า ถ.พ. ต่ำกว่าช่องอื่นสามารถวิเคราะห์ได้ว่าเกิดการลัดวงจรในช่องนั้นๆ (ในกรณีแบตเตอรี่ที่ใช้งานไปแล้ว)
ปริมาณไฟฟ้าในแบตเตอรี่ | ความถ่วงจำเพาะ | ความต่างศักย์ไฟฟ้า(V) |
100% | 1.25 | 12.6 |
75% | 1.23 | 12.4 |
50% | 1.2 | 12.2 |
25% | 1.17 | 12.00 ต้องนำไปอัดไฟใหม่ |
8. วิธีสังเกตแบตเตอรี่เสื่อม
- เมื่อมีอาการต้องเติมน้ำกลั่นบ่อยๆ (สำหรับแบตเตอรี่ธรรมดา)
- ไฟหน้าไม่สว่าง
- ตอนเช้าสตาร์ทรถติดยาก (เสียงเครื่องหมุนช้า)
- กระจกไฟฟ้าเริ่มทำงานช้าลง ระบบไฟฟ้าอื่นๆในรถทำงานช้าลง
- เมื่อแบตเตอรี่ใช้งานมานานกว่า 1.5 – 2 ปี
- ไดสตาร์ทไม่สามารถทำงานได้
- แผ่นธาตุภายในเกิดอาการบวม
- น้ำกรดภายในลดลง (แห้ง) ต่ำกว่าแผ่นธาต
9. การดูแลรักษาแบตเตอรี่
- ทำความสะอาดสายไฟ ทั้งบวกลบ และแบตเตอรี่ด้วยน้ำอุ่น และเช็ดให้แห้งอยู่เสมอ
- ตรวจเช็คทำความสะอาดขั้วแบตเตอรี่ และทาด้วยวาสลิน เพื่อป้องกับคราบขี้เกลือ
- ตรวจเช็คน้ำกลั่นสม่ำเสมอ ไม่ปล่อยให้น้ำแห้ง
- ไม่เติมน้ำกลั่นให้เกินกว่าขีดสูงสุด และต่ำกว่าขีดต่ำสุด
- ตรวจวัดระดับกระแสไฟแบตเตอรี่อย่างสม่ำเสมอ
- ตรวจเช็คไดร์ชาร์จ เมื่อระบบไฟอ่อน
- ตรวจสอบความมั่นคงของการติดตั้ง
- ห้ามเติมน้ำกรด และน้ำกลั่นที่มีสีหรือสารเคมีโดยเด็ดขาด
- ห้ามสูบบุหรี่ ขณะตรวจเช็คน้ำในแบตเตอรี่ เพราะอาจจะระเบิดได้
- ตาแมวของแบตเตอรี่แห้งใช้ดูกำลังไฟโดย (สีน้ำเงิน=ไฟดีอยู่ / สีส้มแดง=แบตเตอรี่มีปัญหาจะต้องชาร์ตไฟหรือเติมน้ำกลั่น / สีขาว=แบตเตอรี่เสียหรือเสื่อมคุณภาพ ต้องเปลี่ยนลูกใหม่)
10. การพ่วงสายแบตเตอรี่
- สายเส้นแรก เริ่มหนีบขั้ว + ของแบตเตอรี่ลูกที่ไฟหมด โดยถือปลายสายอีกด้านลอยไว้ แล้วจึงหนีบขั้ว + ของแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ สายเส้นที่สอง หนีบขั้ว – ของแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ แล้วหนีบอีกปลายเข้ากับตัวถังหรือโลหะในห้องเครื่องยนต์ของรถยนต์คันที่ไม่มีไฟ (ไม่ควรหนีบเข้ากับขั้ว – ของแบตเตอรี่ที่ไฟหมด เพื่อป้องกันการระเบิดของแบตเตอรี่เมื่อเครื่องยนต์ทำงาน ซึ่งมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก)
- จากนั้นสตาร์ทเครื่องยนต์ของรถยนต์คันที่มีไฟ แล้วจึงสตาร์ทเครื่องยนต์คันที่ถูกพ่วง
- เมื่อเครื่องยนต์ติดแล้วจึงถอดสายพ่วงออกทีละขั้ว โดยเริ่มจากปลายสาย – ด้านที่หนีบอยู่กับตัวถังรถ แล้วจึงถอดปลายอีกด้าน จากนั้นให้ถอดปลายสาย + ที่หนีบอยู่กับแบตเตอรี่ลูกที่มีไฟ แล้วจึงถอดปลายสายอีกด้าน โดยในการถอดก็ต้องระวังไม่ให้ปลายสายสัมผัสกับสิ่งใด
ที่มา : http://www.autobacs.co.th/
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น