กระเบา สรรพคุณและประโยชน์ของกระเบาใหญ่ 22 ข้อ ! (กระเบาน้ำ)
กระเบา สรรพคุณและประโยชน์ของกระเบาใหญ่ 22 ข้อ ! (กระเบาน้ำ)
สารบัญ [ซ่อน]
ผู้สนับสนุน
กระเบา
กระเบา ชื่อสามัญChaulmoogra[3]
กระเบา ชื่อวิทยาศาสตร์Hydnocarpus anthelminthicus Pierre ex Laness.[1] ปัจจุบันถูกจัดอยู่ในวงศ์ ACHARIACEAE
สมุนไพรกระเบา มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า กระเบา กระเบาน้ำกระเบาข้าวแข็ง กระเบาข้าวเหนียว กระตงดง(เชียงใหม่), ดงกะเปา (ลำปาง), กระเบาใหญ่(นครราชสีมา), หัวค่าง (ประจวบคีรีขันธ์), เบา(สุราษฎร์ธานี), กุลา กาหลง (ปัตตานี), มะกูลอ (ภาคเหนือ),กระเบาเบ้าแข็ง กระเบาใหญ่ กาหลง แก้วกาหลง (ภาคกลาง), เบา (ภาคใต้), กระเบาตึก (เขมร), ตัวโฮ่งจี๊ (จีน), ต้าเฟิงจื่อ (จีนกลาง) เป็นต้น[1],[2],[4],[5],[6]
ลักษณะของต้นกระเบา
- ต้นกระเบา มีถิ่นกำเนิดในเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบกระจายพันธุ์ในภูมิภาคอินโดจีน จัดเป็นไม้ยืนต้นไม่ผลัดใบขนาดกลางจนถึงขนาดใหญ่ มีความสูงของต้นประมาณ 10-15 เมตร รูปทรงสูงโปร่ง ลำต้นเปลาตรง เปลือกลำต้นเรียบและเป็นสีเทา ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการใช้เมล็ด ในประเทศไทยสามารถพบได้ทุกภาคตามป่าดิบ และตามป่าบุ่งป่าทาม ที่ระดับความสูงจากระดับน้ำทะเล 30-1,300 เมตร[1],[2],[4],[6],[7],[11]
- ใบกระเบา ใบเป็นใบเดี่ยว ออกเรียงสลับ ลักษณะใบเป็นรูปรียาวแกมรูปขอบขนาน ปลายใบแหลม โคนใบมน ส่วนขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 3-6 เซนติเมตร และยาวประมาณ 10-20 เซนติเมตร หลังใบเรียบเป็นมัน สีเขียวเข้ม ส่วนท้องใบเรียบไม่ลื่นและมีสีอ่อนกว่า เนื้อใบทึบแข็งมีลักษณะกรอบ มีเส้นใบประมาณ 8-10 คู่ เส้นใบย่อยสานกันเป็นลายร่างแหมองเห็นได้ชัดเจน ใบอ่อนเป็นสีชมพูแดง ส่วนใบแก่เป็นสีเขียวเข้ม ส่วนก้านใบยาวประมาณ 10-30 เซนติเมตร[1],[2],[4],[11]
- ดอกกระเบา ดอกเป็นแบบแยกเพศอยู่กันคนละต้น ต้นตัวผู้จะเรียกว่า “แก้วกาหลง” ส่วนต้นตัวเมียจะเรียกว่า “กระเบา“[10] ออกดอกเดี่ยวตามซอกใบ บ้างว่าออกดอกเป็นช่อมีสีขาวนวล ในช่อหนึ่งมีประมาณ 5-10 ดอก ดอกมีกลิ่นหอมฉุน มีเกสรเพศผู้ 5 อัน[4] ดอกเพสผู้เป็นสีชมพู มีกลีบดอก 5 กลีบ และมีกลีบเลี้ยงดอก 5 กลีบ มีขน ส่วนดอกเพศเมียออกดอกเป็นช่อสั้น ๆ ตามง่ามใบ กลีบเลี้ยงและกลีบดอกมีลักษณะเหมือนกับดอกเพศผู้[1],[2],[5] โดยจะออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[6],[11] บ้างก็ว่าจะออกดอกในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน[7] (ภาพแรก คือ ดอกเพศผู้ (แก้วกาหลง), ส่วนภาพสอง คือ ดอกเพศเมีย (กระเบา))
- ผลกระเบา ผลใหญ่มีลักษณะเป็นรูปทรงกลม ผลมีขนาดกว้างประมาณ 8-12 เซนติเมตร เปลือกผลหนาแข็งเป็นสีน้ำตาล ผิวผลมีขนคล้ายกำมะหยี่สีน้ำตาล เนื้อในผลเป็นสีขาวอมเหลือง ข้างในผลมีเมล็ดสีดำอันกันแน่นรวมกันอยู่เป็นจำนวนมาก ประมาณ 30-50 เมล็ด เมล็ดมีลักษณะรีหรือรูปไข่เบี้ยว ปลายมนทั้งสองข้าง กว้างประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร และยาวประมาณ 1.5-1.9 เซนติเมตร[1],[2],[4],[11] โดยจะติดผลในช่วงเดือนมกราคมถึงเดือนมิถุนายน และจะเป็นผลในช่วงเดือนมิถุนายนถึงเดือนกรกฏาคม[6],[11]
สรรพคุณของกระเบา
- ผลใช้รักษามะเร็ง (ผล)[1],[2]
- เมล็ดมีรสเผ็ดร้อนและขม ใช้เป็นยาร้อน มีพิษ ออกฤทธิ์ต่อตับ ม้าม และไต ใช้เป็นยาขับลม ขับพิษ (เมล็ด)[4]
- ช่วยดับพิษทั้งปวง (รากและเนื้อไม้)[1],[2]
- ช่วยแก้เสมหะเป็นพิษ (รากและเนื้อไม้)[1],[2]
- ใช้เป็นยาถ่ายพยาธิ (เมล็ด)[11]
- รากและเนื้อไม้มีรสเบื่อเมา ช่วยฆ่าพยาธิผิวหนังต่าง ๆ (รากและเนื้อไม้)[1],[2]
- ช่วยรักษาบาดแผล (รากและเนื้อไม้)[1],[2]
- ช่วยแก้พิษบาดแผลสด (ใบ)[2]
- ใบมีรสเบื่อเบา ใช้ฆ่าพยาธิบาดแผล (ใบ)[1],[2]
- ใบใช้แก้กลากเกลื้อน (ใบ)[1],[2] ส่วนเมล็ดก็ใช้เป็นยาแก้กลากเกลื้อนได้เช่นกัน อีกทั้งยังช่วยแก้หิดได้อีกด้วย (เมล็ด)[4]
- ผลและเมล็ดมีรสเมาเบื่อมัน ใช้แก้โรคผิวหนังต่าง ๆ (ผล,เมล็ด)[1],[2] ตำรายาไทยใช้น้ำมันที่บีบจากเมล็ดเพื่อรักษาโรคผิวหนังอื่น ๆ (เมล็ด)[3] หรือจะใช้เมล็ดประมาณ 5-10 เมล็ด นำมาแกะเปลือกออก แล้วนำมาตำให้ละเอียด เติมน้ำมันพืชลงไปพอควรและคลุกให้เข้ากัน จากนั้นก็นำมาใช้ทาแก้โรคผิวหนัง (เมล็ด)[4]
- ผลมีสรรพคุณช่วยรักษาโรคเรื้อน (ผล)[1],[2] ส่วนตำรายาไทยระบุว่าใช้น้ำมันที่บีบจากเมล็ดในการรักษาโรคเรื้อน (เมล็ด)[3] หรือจะใช้น้ำมันจากเมล็ด 3 มล., น้ำ 160 มล., น้ำนมอุ่น 30 มล., น้ำเชื่อม 40 มล. แล้วนำทั้งหมดมาผสมกัน ใช้กินหลังอาหารวันละ 3 เวลา จะช่วยแก้โรคเรื้อนได้ (น้ำมันจากเมล็ด)[4]
- เมล็ดนำมาหุงเป็นน้ำมันทาภายนอก ใช้สำหรับทาผมและรักษาโรคผมร่วง (เมล็ด)[1],[2]
- ใช้แก้อาการปวดบวมตามข้อ (น้ำมันจากเมล็ด)[5],[7]
- ใช้ปรุงเป็นยารักษาอีสุกอีใส ด้วยการใช้กระเบา 50 กรัม และกระเทียม 20 กรัม นำมาตำผสมกับน้ำ 100 cc. แล้วนำมาต้มให้เดือดนาน 5 นาที แล้วนำมาใช้ทาแผลตามร่างกาย ซึ่งจากการทดลองในคนไข้จำนวน 50 คน และใช้ทาเพียงครั้งเดียวพบว่าคนไข้ทั้งหมดมีอาการที่ดีขึ้น (เข้าใจว่าใช้ส่วนของเมล็ด)[4]
ผู้สนับสนุน
ข้อควรรู้และข้อมูลทางเภสัชวิทยาของกระเบา
- กระเบามีฤทธิ์กระตุ้นการหายใจ กระตุ้นการเกาะกลุ่มของเกล็ดเลือด ยับยั้งมะเร็ง ยับยั้งมดลูกบีบตัว ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร แก้ไข้ ต้านเชื้อแบคทีเรีย ต้านยีสต์ คล้ายกล้ามเนื้อเรียบ รักษาวัณโรค รักษาโรคเรื้อน ทำให้อักเสบ[11]
- เมล็ดและใบสดมีสาร Hydrocyanic acid ส่วนเมล็ดมีน้ำมันระเหยประมาณ 20-25% มีน้ำมันทีเป็น Glycerides oil ของ Chaulmoogric acid, Cyclopentenylglycine, Hydnocarpic acid, Alepric acid, Aleprolic acid และ Aleprylic acid, Gorlic acid.[4]
- มีรายงานวิจัยระบุว่าน้ำมันที่บีบจากเมล็ดกระเบาโดยไม่ใช้ความร้อน จะมีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อโรคเรื้อนและวัณโรค[3]
- น้ำมันจากเมล็ดมีฤทธิ์ในการฆ่าพยาธิไส้เดือน กระตุ้นการสร้างเม็ดสีของผิวหนัง[8]
- น้ำมันจากเมล็ดกระเบาในสมัยก่อน สามารถนำมาใช้รักษาโรคเรื้อนได้ดีนานพอควร และยังใช้รักษาเชื้อราของโรคผิวหนังต่าง ๆ ไดอีกด้วย[4]
- การใช้สาร Hydnocarpic acid จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนได้มากกว่าสาร Chaulmoograte และหากนำมาใช้ร่วมกับ Chaulmoograte จะมีประสิทธิภาพในการรักษาโรคเรื้อนได้ดีกว่า[4]
- พิษเฉียบพลันของเมล็ดกระเบา เมื่อนำเมล็ดมาต้มน้ำหรือสกัดด้วยแอลกอฮอล์แล้วนำไปฉีดเข้ากล้ามเนื้อ จะรู้สึกปวดแสบมาก และยังทำให้เซลล์กล้ามเนื้อตายด้านอย่างเฉียบพลันอีกด้วย ถ้าหากนำมารับประทานมากเกินไป จะทำให้มีอาการอาเจียนปวดท้อง ปวดลำไส้ ทำให้ไตอักเสบ ปัสสาวะมีโปรตีน และปัสสาวะเป็นเลือด[4]
- น้ำมันจากเมล็ดใช้ฉีดเข้าในผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ ซึมผ่านแผล (Direct infusion) ในครั้งแรกให้ใช้ 0.5 มล. ต่อมาให้ใช้ 1 มล. อาทิตย์ละครั้ง, ใช้ฉีดน้ำมันใส่ผม จะช่วยรักษาผิวหนังบนศีรษะ รักษาคุดทะราด และยังใช้เป็นยาแก้มะเร็ง[4]
- ใบและเมล็ดกระเบาเป็นพิษ (มีสาร Cyanogenetic glycoside)[5]
- เมล็ดกระเบาส่วนมากจะนำมาใช้เป็นยาภายนอก ถ้าหากต้องการใช้ผสมกับตำราอื่นเพื่อรับประทาน จะต้องมีวิธีการกำจัดพิษในเมล็ดก่อนที่จะนำมาใช้ได้ และห้ามรับประทานเกินจากที่กำหนด[4]
ประโยชน์ของกระเบา
- ผลแก่สุก ใช้รับประทานแต่เนื้อในเป็นอาหารได้ เนื้อนุ่ม มีรสหวานมันคล้ายกับเผือกต้ม[5],[6]
- ผลเป็นอาหารของลิงและปลามีรสชาติมัน และมีสารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต แป้ง และน้ำตาล[9],[11]
- น้ำมันจากเมล็ดใช้ปรุงเป็นน้ำมันสำหรับใส่ผมเพื่อรักษาโรคบนหนังศีรษะได้[5]
- น้ำมันจากเมล็ดกระเบา (Chaulmoogra oil หรือ Hydnocarpus oil) สามารถนำไปดัดแปลงทางเคมีเพื่อใช้เป็นยาทาภายนอก ยาฉีด หรือยารับประทาน เพื่อใช้บำบัดโรคผิวหนังและช่วยฆ่าเชื้อโรคเป็นอย่างดี เช่น การนำไปใช้บำบัดโรคเรื้อน โรคเรื้อนกวาง หิด คุดทะราด โรคผิวหนังผื่นคันที่มีตัวทุกชนิด รวมไปถึงการนำไปใช้รักษามะเร็งได้อีกด้วย[5]
- ชาวพิจิตรจะใช้เมล็ดกระเบานำมาตำให้ละเอียดให้สุนัขกลืนแบบดิบ ๆ จะช่วยทำให้สุนัขที่เป็นโรคเรื้อนหายเป็นปกติได้จนกว่าจะหมดฤทธิ์ยา (เมล็ดกระเบามีฤทธิ์ทำให้เมาได้ ต้องใช้แต่น้อย)[6]
- เนื้อไม้กระเบามีสีแดงแกมสีน้ำตาลเมื่อตัดใหม่ และนานไปจะเป็นสีน้ำตาลอมสีเทา เนื้อไม้เป็นเสี้ยนตรง เนื้อละเอียดและสม่ำเสมอ มีความแข็ง สามารถผ่าเลื่อนได้ง่าย สามารถนำมาใช้ในงานก่อสร้าง ใช้ทำกระดานพื้นบ้านได้[6]
- กระเบาเป็นต้นไม้ที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ใช้ปลูกเป็นไม้ประดับได้ ต้นมีเรือนยอดเป็นพุ่มกลมทึบและไม่ผลัดใบ จึงสามารถให้ร่มเงาได้ตลอดทั้งปี และยิ่งในช่วงการแตกใบอ่อนสีชมพูแดงจะให้สีสันสวยงามมาก ส่วนดอกดอกถึงแม้จะมีขนาดเล็กแต่ก็มีกลิ่นหอมแรง อีกทั้งยังมีผลที่มีขนาดใหญ่ดูคล้ายผลทองแลดูสวยงาย[11]
References
- หนังสือสมุนไพรไทย เล่ม 1. “กระเบาใหญ่ (Kra Bao Yai)“. (ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, ธวัชชัย มังคละคุปต์). หน้า 34.
- หนังสือสมุนไพรในอุทยานแห่งชาติภาคกลาง. “กระเบาใหญ่“. (พญ.เพ็ญนภา ทรัพย์เจริญ, รศ.ดร.นิจศิริ เรืองรังษี, อาจารย์กัญจนา ดีวิเศษ). หน้า 61.
- หนังสือสมุนไพรสวนสิรีรุกขชาติ. “กระเบา“. (คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล). หน้า 122.
- หนังสือสารานุกรมสมุนไพรไทย-จีน ที่ใช้บ่อยในประเทศไทย. “กระเบาน้ำ“. (วิทยา บุญวรพัฒน์). หน้า 40.
- สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบาน้ำ“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [01 ก.พ. 2014].
- รอบรู้สมุนไพร, โรงเรียนบางสะพานวิทยา. “กระเบา“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.bspwit.ac.th. [01 ก.พ. 2014].
- หนังสือพรรณไม้สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ เล่ม 4.
- พืชสมุนไพรโตนงาช้าง, สำนักบริหารพื้นที่อนุรักษ์ที่ 6 (สงขลา), กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช. “กระเบาใหญ่“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: paro6.dnp.go.th. [01 ก.พ. 2014].
- ฐานข้อมูลความหลากหลายทางชีวภาพในโรงเรียน, มหาวิทยาลัยมหาสารคาม. “กระเบา“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: copper.msu.ac.th/plant/. [01 ก.พ. 2014].
- สวนพฤกษศาสตร์สายยาไทย. “กระเบา“. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.saiyathai.com. [01 ก.พ. 2014].
- สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี. “กระเบาใหญ่“. อ้างอิงใน: thaimedicinalplant.com. [ออนไลน์]. เข้าถึงได้จาก: www.rspg.or.th. [01 ก.พ. 2014].
ภาพประกอบ : www.flickr.com (by ), เว็บไซต์ qsbg.org (by ช่างสงสัย), เว็บไซต์ magnoliathailand.com (by ANS160)
เรียบเรียงข้อมูลโดย MedThai (ไม่อนุญาตให้คัดลอกเนื้อหาไม่ว่าส่วนหนึ่งส่วนใด)
ผู้สนับสนุน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น